รีวิว (Review) iPhone X
ไอโฟนที่ดีที่สุด ด้วยยอดนวัตกรรมแห่งอนาคต บนตัวเครื่องโฉมใหม่หมดจด กับจอไร้ขอบ OLED Super Retina HDR, ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic สุดอัจฉริยะทรงพลัง, Face ID ระบบความปลอดภัยล้ำยุครูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าที่เคย, กล้องคู่ผสาน Portrait Mode หน้าชัด-หลังเบลอ, ระบบกันสั่น Dual OIS ผสาน Optical Zoom, กล้องหน้า TrueDepth ผสาน Animoji ที่สนุกได้กว่าที่เคย, ลำโพงคู่เสียงใส และรองรับการชาร์จไร้สาย บนบอดี้ Metal-Glass ดีไซน์ใหม่ที่กันน้ำได้!
.gif)

หากกล่าวถึงแบรนด์สมาร์ทโฟนระดับโลกที่มีชื่อว่า Apple เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุดก็คือ iPhone สมาร์ทโฟนยอดฮิตที่เข้ามาเปลี่ยนโลกมือถือไปโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวออกมา และกระแสความนิยมของผลิตภัณฑ์ iPhone ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน โดยล่าสุด Apple ได้เปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ออกมาพร้อมกันถึง 3 รุ่น โดย 2 รุ่นแรกเป็นการเปิดตัวตาม Cycle ปกติในชื่อ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus แต่ไอโฟนอีกรุ่นหนึ่งซึ่งเปิดตัวมาในฐานะไอโฟนรุ่นพิเศษสำหรับการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีผลิตภัณฑ์ไอโฟน ได้รับความสนใจจากผู้ใช้เป็นอย่างมาก และไอโฟนรุ่นดังกล่าวมีชื่อว่า iPhone X
iPhone X คือไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของ Apple ในหลายส่วนด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ รูปลักษณ์ดีไซน์ภายนอกที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมใช้ดีไซน์แบบ Metal-Glass ที่ช่วยให้ตัวเครื่องดูเงางามพรีเมียมมากยิ่งขึ้น กับการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP67, หน้าจอแสดงผล OLED Super Retina HDแบบไร้ขอบรุ่นแรกของค่าย ขนาด 5.8 นิ้ว ในอัตราส่วน 18:9 ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 458 ppi พร้อมรองรับการแสดงผลแบบ HDR, ชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A11 Bionic พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine ที่ทำให้ชิปมีความฉลาด และประมวลผลได้เร็วแรงมากยิ่งขึ้น, มาตรฐานรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี Face ID หรือระบบจดจำใบหน้าสุดล้ำที่ปลอดภัยกว่าลายนิ้วมือหลายเท่า และฟีเจอร์ Wireless Charge ที่ไม่ต้องเชื่อมต่อสายให้ยุ่งยาก
สำหรับจุดเด่นอย่างกล้องถ่ายภาพบน iPhone X นับว่าเป็นฟีเจอร์พระเอกของรุ่นเลยก็ว่าได้ โดยกล้องด้านหลังเป็นแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, ระบบซูมภาพแบบ 2x Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fpsและรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD 60fps ส่วนกล้องด้านหน้า TrueDepth มาพร้อมความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD
นอกจากนี้ Apple ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) หรือเทคโนโลยีการสร้างภาพเสมือนซ้อนทับลงบนโลกแห่งความจริงที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยเปิดประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ได้มากขึ้น เช่น แอปพลิเคชันเกี่ยวกับอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ที่สามารถมองเห็นอวัยวะจำลองได้ทันที หรือการใช้งานด้านความบันเทิงด้วยการเล่นเกมส์ หรือสร้างคลิปวิดีโอที่มีไดโนเสาร์ หรือมอนสเตอร์ต่างๆ มาร่วมเฟรมด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ Apple จึงพัฒนาให้กล้องของ iPhone X รองรับการใช้งานเทคโนโลยี AR อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งมีแอปพลิเคชัน AR ให้เลือกใช้งานบน App Store อย่างหลากหลายด้วยเช่นเดียวกัน
และด้วยกระแสที่มาแรง พร้อมทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนี้ ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้นำ iPhone X มารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันอย่างละเอียดว่า iPhone X รุ่นนี้มีอะไรที่ดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง, ฟีเจอร์การใช้งานใหม่เป็นอย่างไร, คุ้มค่าน่าเปลี่ยนหรือไม่ ติดตามชมจากรีวิว iPhone X ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
.gif)

iPhone X มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 143.6x70.9x7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ All-Screen OLED Super Retina HD Display ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล (กว้าง 5.8 นิ้ว : 458 ppi)

ด้านหน้าส่วนบนประกอบด้วย กล้องอินฟราเรด, อิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง, เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะ, เซ็นเซอร์วัดแสงโดยรอบ, ลำโพงสำหรับทำการสนทนา และลำโพงตัวที่สองของเครื่อง, ไมโครโฟน, กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD และตัวฉายจุดแสง

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มโฮมแบบใหม่ (On-Screen) โดยใช้วิธีการปัดนิ้วขึ้นเพื่อออกมาสู่หน้าโฮม

ด้านขวาประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM, ปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และเป็นปุ่มเรียกใช้งาน Siri ด้วย

ด้านซ้ายประกอบด้วย ปุ่ม เปิด-ปิด เสียง หรือล็อกการหมุนของหน้าจอ และปุ่ม เพิ่ม-ลด ระดับเสียง


ด้านล่างประกอบด้วย ช่องเชื่อมต่อ Lightning Port และลำโพงหลักของตัวเครื่อง

ด้านหลังประกอบด้วย กล้องด้านหลังเป็นแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD 60fps

ตัวเครื่องของ iPhone X ใช้การดีไซน์แบบ Metal-Glass โดยกรอบตัวเครื่องใช้โลหะ Stainless Steel ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือศัลยกรรม ส่วนด้านหลังทั้งหมดถูกครอบทับด้วยกระจก ซึ่งช่วยให้รูปลักษณ์ตัวเครื่องดูมีความหรูหราพรีเมียมน่าจับถือ แต่ด้วยความที่ด้านหลังเป็นกระจก ทำให้อาจเกิดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ หรือใส่เคสเพื่อป้องกัน ส่วนขนาดของตัวเครื่องค่อนข้างหนาอยู่แล้ว ทำให้จับถือได้กระชับถนัดมือ ไม่ต้องกลัวว่าจะร่วงหลุดมือแต่อย่างใด นอกจากนี้ iPhone X ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายได้อีกด้วย ทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสายให้ยุ่งยากอีกต่อไป


สำหรับ iPhone X ก็ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงที่สุดในตลาดขณะนี้ ดังนั้นจึงย่อมต้องการ การปกป้องที่มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหน้าจอไร้ขอบใหม่ล่าสุด ถ้าแตกขึ้นมาก็จะมีค่าซ่อมสูงเกือบ 1 หมื่นบาทเลยทีเดียว แต่หากมีฟิล์มกระจกกันรอย Focus Super Glass 3D Full Frame รุ่นนี้ช่วยปกป้องก็อุ่นใจได้ เพราะรับแรงกระแทกได้มากกว่าฟิล์มกระจกกันรอยทั่วไปถึง 2 เท่า ด้วยเทคโนโลยี Strength Plus อีกทั้งยังปกป้องได้เต็มจอถึงขอบโค้ง, แสดงผลได้คมชัดสีสันสดใส, ไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นเข้าจอ, ทัชลื่นไม่สะดุด, กันรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม และสวยงามโค้งมนลงตัวพอดีกับ iPhone X


หลังจากติดตั้งแล้ว เซ็นเซอร์ต่างๆ กับกล้องด้านหน้า รวมถึงระบบ Face ID ก็ยังทำงานได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับ

รวมถึง Animoji ที่เป็นแอนิเมชั่นเคลื่อนไหว และมีเสียงพูดได้ตามท่าทาง


นอกจากจะรับแรงกระแทกได้มากกว่า 2 เท่าแล้ว การป้องกันรอยขีดข่วนจากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก็นับว่ายอดเยี่ยมครับ ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ, เหรียญ, แหวน, นาฬิกา, ปากกา, คัตเตอร์, พื้นโต๊ะ, ซิปกระเป๋า, สายชาร์จ, แจ็คหูฟัง และอื่นๆ อีกมากมาย

เรื่องระบบสัมผัสก็ยังคงลื่นไหลแทบไม่ต่างไปจากหน้าจอเดิมๆ ของ iPhone X

การแสดงผลก็ยังคงมีความคมชัดสูง และมีสีสันที่สดใส แทบไม่ต่างไปจากหน้าจอเดิมๆ เช่นเดียวกัน


และฟิล์มกระจกกันรอยระดับพรีเมียมรุ่นนี้ก็ไม่ได้ผลิตมาเฉพาะ iPhone X เท่านั้นนะครับ เพราะยังมีรุ่นสำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : รีวิว Focus Super Glass 3D Full Frame ฟิล์มกระจกกันรอย iPhone X ที่แข็งแกร่ง 2 เท่า พร้อมปกป้องได้เต็มจอถึงขอบโค้ง!
.gif)








จะเห็นว่า iPhone X มีขนาดตัวเครื่องในภาพรวมเล็กกว่า iPhone 8 Plus อยู่พอประมาณ แต่พื้นที่หน้าจอแสดงผลมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะ iPhone X ใช้งานหน้าจอแบบไร้ขอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานไอโฟนในตัวเครื่องที่มีขนาดกระชับมือ แต่แสดงผลได้เต็มตามากยิ่งขึ้น ซึ่งความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์ดีไซน์ที่สังเกตได้ชัดเจนก็คือ ตำแหน่งเซ็นเซอร์ และกล้องด้านหน้าของ iPhone X จะอยู่ตรงกลางหน้าจอ ส่วนกล้องคู่ด้านหลังจะเป็นแนวตั้ง ขณะที่กล้องคู่ของ iPhone 8 Plus จะเป็นแนวนอน และที่สำคัญก็คือ iPhone X ไม่มีปุ่มโฮมวงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ของไอโฟนมาอย่างยาวนาน เพราะ iPhone X ใช้งาน Face ID นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น